ป้ายกำกับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

JavaScript onload vs onpageshow

บันทึกไว้เพื่อเตือนความจำ

The onpageshow event is similar to the onload event, except that it occurs after the onload event when the page first loads. Also, the onpageshow event occurs every time the page is loaded, whereas the onload event does not occur when the page is loaded from the cache.

Reference

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Writing Java Desktop Application with Android Studio

วันนี้พอจะมีเวลาและอยากจะเขียนโปรแกรมที่ติดค้างมานานแล้ว เป็นโปรแกรมภาษา Java และจะเขียนแบบง่ายๆเป็น Desktop Application แต่เนื่องจากห่างหายจากการเขียนแบบนี้มานานมาก เมื่อก่อนเคยใช้ NetBeans เขียนเป็นประจำ แต่ว่า ตั้งแต่บริษัท Sun Microsystems ขายกิจการไปให้บริษัท Oracle Corporation (ปีคศ. 2010) มันเหมือนเรารู้สึกเคว้งคว้างไปด้วย ไม่รู้ว่าอนาคตของภาษา Java จะเป็นอย่างไร ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ใช้ NetBeans อีกเลย ก็หันมาใช้ Eclipse อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยถูกใจมากนัก สุดท้าย 2-3 ปีมานี้ หันมาจับ Android Studio เสียส่วนใหญ่ วันนี้ก็เลยคิดอยากจะเขียน Java Desktop Application ด้วย Android Studio ขึ้นมา

เอ้า พอลองค้นๆดูว่าทำได้หรือเปล่า ก็พบว่ามีคนแนะนำไว้พอสมควรครับ แต่จะนำมาสรุปบันทึกไว้เพื่อช่วยจำและจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆดังนี้

Create New Module

ปกติแล้ว Project ที่เราสร้างด้วย Android Studio นั้น จะเป็น Android Application ซึ่งเมื่อสร้างแล้วจะได้ Module แรกชื่อ app ขึ้นมา ในกรณีนี้ เราจะไม่ใช้ Module นี้ บางความเห็นที่ค้นๆมาบอกว่าให้ลบทิ้ง แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องลบทิ้ง เผื่อว่าเราอาจจะเปลี่ยนใจพัฒนาเป็น Android Application ก็จะได้ไม่ต้องสร้างใหม่ให้ยุ่งยาก ก็ปล่อยไว้แบบนั้นไปก่อน

เมื่อต้องการสร้าง Java Application เราจะใช้วิธีสร้าง Module ใหม่ โดยเลือกเมนู File/New/New Module แล้วเลือก Module แบบ Java Library ดังภาพ
จากนั้นก็กรอก Library name (ชื่อของ Module) Java package name (ชื่อ Package หลัก) และ Java class name ชื่อคลาสไฟล์ที่จะถูกสร้างขึ้นไฟล์แรก

Set Main Class

เมื่อสร้าง Module เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะได้คลาสไฟล์แรกมาด้วย ถ้าต้องการให้ไฟล์นี้เป็นโปรแกรมหลัก ให้เพิ่มฟังก์ชัน main() ไว้ที่ไฟล์นี้ เช่น
package com.example;

public class MyClass {
    public static void main(String[] args) {
        System.out.println("Hello World");
    }
}
เมื่อเขียน main() เสร็จแล้วควร Build ด้วยเมนู Build/Make Module ... เสียก่อน จากนั้น เราจะสามารถรันโปรแกรมได้จากเมนู Run/Run... จะปรากฎป๊อบอัพเมนูให้เลือกรัน MyClass ดังภาพ
หากเคยเลือกรันไปแล้วครั้งหนึ่ง จะปรากฏชื่อคลาสตรงปุ่มข้างๆปุ่มรันที่ Toolbar ดังภาพ
แต่หากไม่ปรากฎชื่อคลาสหลักเพื่อจะรันโปรแกรม เราก็สามารถสร้างใหม่เองได้ด้วยการเลือก Edit Configurations... แล้วเพิ่ม Configuration แบบ Application ด้วยการกดปุ่มเครื่องหมาย + ตรงมุมบนซ้าย
กำหนด Name และ Main class ให้ถูกต้อง ก็จะได้ Configuration สำหรับรันโปรแกรมหลัก

Create Jar File with Dependencies

ปกติแล้วเมื่อ Build Module แล้วจะได้ Jar ไฟล์ของโปรแกรมอยู่ในโฟลเดอร์
<โปรเจ็คโฟลเดอร์>/<โมดูลโฟลเดอร์>/build/libs
เช่น AndroidStudioProjects/MyApplication/lib/build/libs เป็นต้น
แต่หากโปรแกรมมีการเรียกใช้ Library อื่นๆด้วย Jar ไฟล์ของ Library ที่จำเป็นต้องใช้งานร่วมกันนั้น อาจจะไม่ได้รวมอยู่ใน Jar ไฟล์เดียวกัน ซึ่งจะทำให้ไม่สะดวกในการนำไปใช้งานก็เป็นได้ ซึ่งเราสามารถเพิ่ม Task สำหรับการสร้าง All-in-One Jar ไฟล์ได้ ด้วยการแก้ไขไฟล์ build.gradle script ของโมดูลนี้ โดยเพิ่ม Task ชื่อ fatJar ดังนี้
version='1.0' 
task fatJar(type: Jar) {
manifest {
        attributes 'Implementation-Title': 'MyClass Jar File Example',
        'Implementation-Version': version,
        'Main-Class': 'com.example.MyClass'
    }
    baseName = project.name + '-all'
    from { configurations.compile.collect { it.isDirectory() ? it : zipTree(it) } }
    with jar
}
 เมื่อเพิ่ม Task ชื่อ fatJar เข้าไปแล้ว และสามารถ Sync Gradle ได้อย่างถูกต้อง เราจะพบชื่อ Task นี้ในหน้าต่างของ Gradle Properties ดังภาพ
ซึ่งสามารถเรียกใช้ได้ด้วยการ Double-Click ที่ชื่อ หรือคลิ๊กเมาส์ปุ่มขวาแล้วเลือกเมนูรันได้เลย ซึ่งผลลัพธ์จะได้ Jar ไฟล์อยู่ในโฟลเดอร์เดียวกับ Jar ไฟล์ปกติ แต่ชื่อไฟล์จะมี -all เพิ่มเข้ามา

อ้างอิง

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Bridge setup for KVM

ช่วงนี้ได้ทดลองใช้งาน KVM บน Ubuntu เนื่องจากกำลังทดลองทำ Cluster เล็กๆสำหรับ Apache Cassandra จากเมื่อก่อนที่เคยใช้แต่ VirtualBox มาตลอด เพราะสะดวกดี ใช้ได้ทั้งบน Windows, OS X และ Linux พอมาลอง KVM ก็พบว่าการบริหารจัดการ VM ด้วย Virtual Machine Manager (VMM) ทำให้เราสะดวกมากขึ้น เนื่องจากผมก็ไม่ค่อยจะชอบจำ Command-line เท่าไรนัก และ VMM ก็สามารถ Remote ไปจัดการที่เครื่องใดก็ได้ในขณะที่ VirtualBox นั้น จะไม่มีเครื่องมือที่เป็น Remote มาให้ (มี RemoteBox อยู่แต่ไม่ได้ลองใช้)

หลังจากที่พยายามศึกษาการใช้งาน และทำการ Convert image ไฟล์จาก VDI Format ของ VirtualBox มาเป็น QCOW2 Format ของ Qemu อยู่พักใหญ่ เนื่องจากมีอยู่หลายไฟล์ และแต่ละไฟล์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้เนื้อที่ฮาร์ดดิสต์เต็ม เลยต้องจัดการข้อมูลเก่าๆอยู่นาน สุดท้ายก็ได้ทดลองรัน VM ขึ้นมาได้ แต่แล้วก็ติดปัญหาว่า VM ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ เนื่องจาก VMM มี UI ให้เราสร้างแต่ Virtual Network ที่เป็น NAT หรือ Router เท่านั้น (เห็นบางแห่งแนะนำว่าเลือกเป็น Bridge ได้ แต่สำหรับ VMM บน Ubuntu 14.04 ที่ผมใช้อยู่ไม่มีเมนูให้เลือก) สุดท้ายก็เลยต้องลงมือทำด้วย Command-line ซึ่งก็เลยเป็นที่มาของการบันทึกนี้เพื่อกันลืมครับ

ขั้นตอน

1.ติดตั้ง bridge-utils
2.แก้ไขไฟล์ /etc/network/interfaces ซึ่งสำหรับกรณีที่ใช้ DHCP ของผมเป็นดังนี้ (ค่า bridge_ports ให้ใส่ชื่อ interface ของ LAN, ค่า post-up ใช้ในกรณีที่ DHCP แจก IP ตาม MAC Address ของ LAN)
auto lo
iface lo inet loopback

auto br0
iface br0 inet dhcp
    bridge_ports eth0
    bridge_stp off
    bridge_fd 0
    bridge_maxwait 0
    post-up ip link set br0 address f4:6d:04:08:f1:5f
3.แก้ไขไฟล์ /etc/sysctrl.conf ดังนี้
net.ipv4.ip_forward=1
net.ipv6.conf.all.forwarding=1
net.bridge.bridge-nf-call-ip6tables = 0
net.bridge.bridge-nf-call-iptables = 0
net.bridge.bridge-nf-call-arptables = 0
4.restart network ใหม่

หมายเหตุ 1

พบว่า UFW มี Bug(UFW blocks libvirt bridged traffic) ทำให้ Guest VM ไม่สามารถใช้งาน Bridge ได้ ซึ่งมีคนแนะนำให้สั่ง
sysctl -p /etc/sysctl.conf
แล้วจะทำให้ใช้งานได้ โดยเราสามารถเพิ่มคำสั่งนี้ไว้ใน /etc/rc.local เพื่อให้ทุกครั้งที่ boot เครื่องใหม่ก็จะใช้งานได้เป็นปกติ

หมายเหตุ 2

มีคนรายงานปัญหาว่า หากคำสั่ง sysctl -p /etc/sysctl.conf แล้วมี error ดังนี้
sysctl: cannot stat /proc/sys/net/bridge/bridge-nf-call-iptables: No such file or directory
sysctl: cannot stat /proc/sys/net/bridge/bridge-nf-call-ip6tables: No such file or directory
อาจเกิดจากการที่ module bridge ในบางกรณี ไม่สร้าง net.bridge.* ให้ ซึ่งเขาแนะนำให้ติดตั้ง module br_netfilter เพิ่ม โดยสั่ง
modprobe br_netfilter
หากใช้งานได้ ให้เพิ่มชื่อ br_netfilter ไว้ใน /etc/modules ก็จะใช้งานได้ โดยไม่ต้องสั่ง sysctl -p อีกต่อไป

ตรวจสอบ module br_netfilter ว่ามีหรือไม่ได้ด้วยคำสั่ง
 egrep -r -i "nf-filter" /lib/modules/$(uname -r)/kernel/net/*

อ้างอิง