ชื่อเรื่องอาจจะแปลกๆกึ่งๆออกจะติดเรดผู้ปกครองควรพิจารณาสักหน่อย แต่ก็คิดว่าเหมาะสมกับเรื่องที่อยากจะเขียนมาก เพราะควรพิจารณาจริงๆกับเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และมักจะมีคนชอบใช้ประตูหลังกันบ่อยๆ
ผมขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นจะคิดกันไปต่างๆนานา หาว่าผมเขียนอะไรที่ไม่สมควร ความจริงแล้วมันก็คือเรื่องความปลอดภัยของซอฟต์แวร์นี่แหละ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์สำคัญๆ ที่ใช้งานในองค์กร เรามักจะต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นที่สุด แต่โดยทางทฤษฎีแล้ว ถ้าเราปิดประตูไว้ได้หมด ก็หมดเรื่อง ไม่ต้องกังวล และในทางปฏิบัติแล้ว ประตูหน้า ซึ่งมักจะจงใจสร้างขึ้นเป็นช่องทางเพียงช่องทางเดียวสำหรับเข้าออกระบบ ก็จะต้องได้รับการคิดวิเคราะห์เรื่องความปลอดภัยไว้เรียบร้อยแล้ว โดยประตูหน้า มักจะต้องจำกัดให้เฉพาะผู้ที่สามารถยืนยันตัวตนได้เท่านั้น ผ่านเข้าออกระบบได้ เสมือนมียามเฝ้าคอยตรวจบัตรผ่าน
ทีนี้ปัญหามันก็มีอยู่ว่า ช่องทางประตูหน้า มักมีข้อจำกัดหลายอย่าง จนทำให้เวลาเกิดปัญหาขึ้นในระบบ เช่น ไฟไหม้ การเข้าออกเพียงช่องทางประตูหน้าที่มีการตรวจสอบรัดกุมเพียงทางเดียวจึงไม่เพียงพอ ผู้ออกแบบระบบจึงมักจะทำทางออกฉุกเฉิน เช่น บันไดหนีไฟ และ ประตูหลังไว้ แต่จุดนี้ก็จะกลายเป็นช่องโหว่ของระบบ ทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น อย่างในหนังจารกรรมหลายๆเรื่อง โจรก็มักจะใช้บันไดหนีไฟและประตูหลังเป็นช่องทางเข้า-ออกระบบ เพราะโดยปกติแล้ว จะเปิดทิ้งไว้ตลอด และไม่มีใครดูแล
ถ้าเป็นไปได้ เราก็ไม่ควรจะมีประตูหลังสินะ เหมือนตู้นิรภัย ที่ไม่มีประตูหลัง และผนังทุกด้านปิดผนึกแน่นหนา ไม่มีช่องแม้แต่จะให้อากาศเข้าไปได้ แต่นั่นเป็นอุดมคติและใช้ได้เฉพาะกรณีอย่างตู้นิรภัยสำหรับเก็บสิ่งของมีค่าเท่านั้น หากจะให้คนเข้าไปอยู่ก็คงจะไม่ได้ ดังนั้น ตึกหรืออาคารต่างๆ จึงออกแบบให้ต้องมีประตุหลัง เพื่อให้มีความปลอดภัยและใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติ
ในทำนองเดียวกัน ระบบซอฟต์แวร์หลายๆระบบ จึงมีประตูหลัง เพราะผู้ใช้งานต้องการความสะดวก และต้องการช่องทางพิเศษในการจัดการกับปัญหาบางปัญหาที่พิเศษจริงๆ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับความไม่ปลอดภัยและช่องโหว่ต่างๆ ในทางปฏิบัติ หลายๆที่จึงต้องมียามเฝ้าประตูหลังไว้ด้วย หากไม่มียามเฝ้า ประตูหลังก็ควรจะเป็นประตูที่ออกแบบมาให้เปิดได้จากข้างในเท่านั้น จะเปิดจากด้านนอกไม่ได้